ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

สถานที่เที่ยวต่างจังหวัดที่เคยไป

            

             ปาลิโอ เขาใหญ่ นครราชสีมา


         อันดับที่ 2 ได้แก่ ปาลิโอเขาใหญ่    นครราชสีมา    
      ปาลิโอ้ เขาใหญ่ ที่เที่ยวสุดฮิตที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักเที่ยว ที่ชอบการถ่ายรูป รักในสีสันของตะวันตก ภายในตกแต่งสไตล์ยุโรป มีบริการ ร้านอาหาร ที่พักไปจนถึงมุมถ่ายรูปสวยๆ หากมาในช่วงหน้าหนาวยิ่งได้บรรยากาศของไอหมอกสวยงามอย่าบอกใคร

Palio Khaoyai (ปาลิโอ  เขาใหญ่)

Palio Khaoyai (ปาลิโอ เขาใหญ่)    

             สถานที่ในเขาใหญ่ที่กำลัง HIP คือ Palio หรือ ปาลิโอ ตั้งอยู่บนถนนธนะรัชต์ หลักกิโลเมตรที่ 17 ติดกับโรงแรมจุลดิศ เขาใหญ่ รีสอร์ท แอนด์ สปา ท่านจะได้สัมผัส Palio เขาใหญ่ในบรรยากาศอิตาลี จนเผลอคิดว่าเราอยู่ในอิตาลีจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาคารถูกออกแบบให้เป็นกลุ่มอาคารถนนคนเดิน หรือสถาปัตยกรรมยุโรปโบราณแนวอิตาเลี่ยนสไตล์ที่รายล้อม แถมคำว่า Palio ยังเป็นภาษาอิตาเลียน หมายถึง "รางวัล" อีกด้วย
Palio เขาใหญ่

ร้านเล็กๆ น่ารักๆ เป็นแนวลดหลั่นเรียงกันมากมาย
    ภายใน    Palio เขาใหญ่ มีร้านเล็ก ๆ เป็นแนวลดหลั่นเรียงกันมากมาย มีสินค้าแทบจะทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ของแต่งบ้าน, เสื้อผ้าแฟชั่น, เครื่องประดับ, เครื่องเสียง,งานดีไซน์ต่าง ๆ, ธนาคาร, ร้านขายของที่ระลึก, พืชผักปลอดสารพิษ ร้านไวน์ Coffee Shop, Pub & Restaurant, Bakery ร้านเสริมสวย Spaร้านขายยา ร้านขายหนังสือ   ศูนย์อาหาร  ร้าน ITฯลฯ โดยแต่ละร้านจะได้รับการออกแบบให้มีสไตล์ และเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่กลมกลืนเข้าภูมิทัศน์ล้อมรอบที่ดำรงความเป็นธรรมชาติของเขาใหญ่

Palio เขาใหญ่


บรรยากาศสไตล์อิตาเลี่ยน
        นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ได้แก่ สวนหย่อม น้ำพุ ลานอเนกประสงค์สำหรับจัดการแสดงหรือดนตรี ห้องแสดงสินค้าหรือนิทรรศการ แต่ถ้าอยากเต็มอิ่มกับ Palio เขาใหญ่ ก็ลองหาที่พักที่เหมาะสมกับกระเป๋าตัวเองที่มีให้เลือกหลายราคา และนี่ก็คือ Palio เขาใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยวสุด Chic

 




Palio เขาใหญ่

หากอยากไปสัมผัสบรรยากาศสไตล์อิตาเลี่ยนแบบนี้ Palio เขาใหญ่ เปิดบริการทุกวัน
ตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น.










Palio Inn เขาใหญ่


ที่พัก Palio Inn ห้องพักสไตล์ บูติค
              เปิดให้บริการแล้วสำหรับผู้ที่ชอบบรรยากาศ ท่ามกลางสถาปัตยกรรมแบบอิตาลี่ ณ. ปาลิโอ เขาใหญ่ ห้องพักอยู่ในบริเวณ Palio Khao Yai walking street & shopping center มีทั้งหมด 12 ห้อง แต่ละห้องตกแต่ง ไม่เหมือนกันซึ่งมีความสวยงามแตกต่างกันไป


จองที่พัก ปาลิโอ อินน์ (Palio Inn Khao Yai)

รายชื่อโรงแรมราคา
ปาลิโอ อินน์ (Palio Inn Khao Yai)
146/1 หมู่ 4 ถนนธนะรัชต์ (กม.17) ต.หมูสี อ.ปากช่อง, อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่, จ.นครราชสีมา 30130
พื้นที่ เขาใหญ่
ราคาเริ่มต้น :3,568 บาท



แผนที่ Palio เขาใหญ่


การเดินทางสู่ Palio เขาใหญ่

การเดินทางโดยรถยนต์

จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางเดียวกันกับการเดินทางมาเขาใหญ่ (ปากช่อง) จากสระบุรี แล้วเลี้ยวขวาจนมาถึงบริเวณ ปากช่อง ก็สังเกตป้ายว่า ไปเขาใหญ่ จากนั้นขับมาเรื่อยๆ ราวๆ 10 กว่ากิโล สังเกตทางด้านซ้ายก็จะเห็น ทางเข้า ปาลิโอ (Palio Khao Yai) หรือถ้ามาจาก Primo Posto แล้วต้องการจะไป Palio ให้เราขับตามทางที่ไปเขาใหญ่ไปเรื่อยๆ จะถึงสามแยก ให้เราเลี้ยวซ้าย Palio จะอยู่ทางขวามือ
พิกัดแผนที่ (GPS) ปาลิโอ (Palio Khao Yai): N 14 32' 17.91" E 101 24' 2.28"

รถโดยสารประจำทาง
รถโดยสารประจำทางสาย กรุงเทพ-ปากช่อง ลงปากช่อง และเหมาสองแถวหรือมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
รถตู้โดยสารปากช่อง อนุสาวรีย์ชัย อยู่ที่ราชวีธี ซอย3.ข้างสวนสันติภาพ รถออก 06.00-20.00น ทุกวัน

  • อนุสาวรีย์ชัย โทร. 085-6007975 
  • รังสิต โทร. 084-8293609 
  • ปากช่อง โทร. 089-6161952
  • คนละ 180 บาทไปถึงปากช่อง และเหมาสองแถวหรือมอเตอร์ไซด์รับจ้าง



วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดบ้านเกิด


 (วัดเจติยาคีรีวิหาร หรือวัดภูทอก)

ภูสวรรค์แดนนิพพาน

ที่ตั้งและแผนที่วัดภูทอก
บ้านคำแคน ตำบลนาแสง 
อำเภอศรีวิไล จ.บึงกาฬ  38000


ประวัติความเป็นมา

         ภูทอก ในภาษาอีสานแปลว่า ภูเขาที่โดดเดี่ยว เป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก)อยู่ในอาณาเขตบ้านคำแคน ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล จ.หนองคาย ภูทอกมี 2 ลูกคือ ภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย ส่วนที่นักแสวงบุญและนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถชมได้คือภูทอกน้อย ส่วนภูทอกใหญ่อยู่ห่างออกไป ยังไม่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวไปชมได้ตามปกติ ในอดีตอาณาบริเวณนี้เคยเป็นป่าทึบ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย ต่อมาพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้เริ่มเข้ามาจัดตั้งเป็นแหล่งบำเพ็ญเพียร เพื่อให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรม เนื่องจากเป็นสถานที่เงียบสงบ เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณะธรรมของภิกษุ-สามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วไป 

                ในเวลาต่อมา ก่อนที่พระอาจารย์จวนจะละสังขาร ได้เล็งเห็นการณ์ไกลที่จะช่วยเหลือชาวบ้านแถวนี้ให้มีรายได้อย่างยั่งยืนและถาวรเป็นการตอบแทนบุญคุณญาติโยมที่มีอุปการะ จึงได้ริเริ่มจัดสร้างสะพานไม้และบันไดขึ้นชมทัศนียภาพรอบ ๆ ภูทอก เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงพุทธรักษ์ คือการท่องเที่ยวในเชิงการแสวงบุญหรือธรรมจาริก นักท่องเที่ยวจะได้ประโยชน์จากการเที่ยวชมธรรมชาติคือขุนเขาลำเนาไพรและได้ศึกษาพุทธศาสนา ส่วนชาวบ้านจะได้ประโยชน์จากการจำหน่ายสินค้าและธุรกิจร้านอาหาร (เงินจะสะพัด)นี่คือการช่วยเหลือประชาชนในแนวทางของพระอริยะ ส่วนพระที่ช่วยเหลือประชาชนโดยการบอกเลขใบ้หวย เป็นการช่วยเหลือที่ไม่จีรังยั่งยืน

บันไดขึ้นภูทอก
   การขึ้นภูทอกนั้น ท่านพระอาจารย์จวนเริ่มก่อสร้างบันไดไม้สำหรับไต่ขึ้นไปในปี พ.ศ. 2512 ซึ่งมีทั้งหมด 7 ชั้น ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 5 ปีเต็ม บันไดทั้ง 7 ชั้น แตกต่างกัน ดังนี้

ชั้นที่ ๑.  เมื่อนักแสวงบุญเดินผ่านประตูสวรรค์เข้าไป  แม้จะไม่มีป้ายบอก  แต่ก็ถือว่าเข้ามาอยู่ในอาณาบริเวณชั้นที่ 1 แล้ว   ชั้นที่หนึ่งนี้นักแสวงบุญจะได้สัมผัสกับต้นไม้ใบหญ้าหลากชนิดนานาพันธุ์ ป.ล. การถ่ายภาพพุทธวิหารให้ได้ภาพงดงามที่สุด  ต้องถ่ายซูมจากชั้นที่ 6 เท่านั้น
ชั้นที่ ๒ เป็นบันไดไม้ยาวทอดรับจากชั้นที่ 1  เมื่อเดินตามสะพานไม้ไปเรื่อย ๆจะเห็นสถานีวิทยุชุมชนของวัดอยู่ด้านขวามือ ชั้นที่หนึ่งและสองมีทัศนียภาพที่ไม่ต่างกันมากนัก 
ชั้นที่ ๓ เป็นสะพานเวียนรอบเขา สภาพเป็นป่าเขามืดครึ้ม มีโขดหินลานหิน สุดทางชั้นที่ 3 มีทางแยกสองทาง (ดูภาพประกอบ) ทางซ้ายมือเป็นทางลัดผ่านชั้น 4 ไปสู่ชั้นที่ 5 ได้เลยซึ่งเป็นทางค่อนข้างชัน ผ่านซอกหินที่มีลักษณะเหมือนอุโมงค์ ส่วนทางขวามือเป็นทางขึ้นสู่ชั้นที่ 4 แล้ววกขึ้นชั้นที่ 5 เป็นทางอ้อม (ขอแนะนำว่าควรขึ้นทางนี้ แล้วลงทางนั้น(ทางลัด))
ชั้นที่ ๔ เป็นสะพานลอยไต่เวียนรอบเขา มองไปเบื้องล่างจะเห็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับกัน เรียกว่า “ดงชมพู”ทิศตะวันออกจดกับภูลังกา เขตอำเภอเซกา ซึ่งมีสภาพเป็นป่าดิบ มีแม่น้ำลำธารหลายสายไหลผ่าน มีสัตว์ป่ามากมายอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมีฝูงกามาอาศัยอยู่มาก จึงเรียกกันว่า ภูรังกา แล้วเพี้ยนมาเป็นภูลังกาในที่สุด ชั้นที่ 4 นี้ จะเป็นที่พักของแม่ชี รอบชั้นมีระยะทางประมาณ 400 เมตร มีที่พักผ่อนระหว่างทางเป็นระยะๆ
ชั้นที่ ๕ หรือชั้นกลาง เป็นชั้นที่สำคัญที่สุดแต่ไม่ได้สวยที่สุด (สวยที่สุดคือชั้น 6) มีศาลากลางและกุฏิที่อาศัยของพระ และเป็นที่เก็บศพของพระอาจารย์จวนไว้ด้วย ตามช่องทางเดินจะมีถ้ำอยู่หลายถ้ำ เช่น ถ้ำเหล็กไหล ถ้ำแก้ว ถ้ำฤาษี ฯลฯ ตลอดเส้นทางสู่ชั้นที่ 6 มีที่พักเป็นลานกว้างอยู่ราว 20 แห่ง มีหน้าผาชื่อต่างๆ กัน เช่น ผาเทพนิมิตร ผาหัวช้าง ผาเทพสถิต ฯลฯ ถ้ามาทางด้านเหนือจะเห็นสะพานหินธรรมชาติทอดสู่พุทธวิหาร อันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วย มองออกไปจะเห็นแนวของภูทอกใหญ่อย่างชัดเจน และมีบันไดเวียนขึ้นสู่ชั้นที่ 6
ชั้นที่ ๖  เป็นชั้นสุดท้ายของบันไดเวียนรอบเขา  มีความยาว 400 เมตร  เป็นชั้นที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมทัศนียภาพรอบ ๆ ภูทอกได้ดีที่สุดและสวยที่สุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์และน่าชมที่สุดของชั้นนี้คือ  ปากทางเข้าเมืองพญานาคซึ่งอยู่หลังพระปางนาคปรก  มีจุดให้สังเกตุคือมีรอยสีขาวขูดติดกับหินปูน ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นรอยถลอกที่เกิดจากท้องพญานาคสัมผัสกับหิน  และมีบ่อน้ำเล็ก ๆ ขังอยู่เกือบตลอดปี (ดูภาพประกอบ)    
ชั้นที่ ๗ จากชั้นที่หกขึ้นมาชั้นที่เจ็ด  จะมีบันไดไม้พาดขึ้นมา  เมื่อเดินขึ้นบันไดผ่านมาแล้วจะเจอทางแยก  2 ทางเพื่อขึ้นไปบนดาดฟ้าชั้น 7  ทางแรกเป็นทางชัน  ต้องเกาะเกี่ยวกิ่งและรากไม้โหนตัวขึ้นด้านบน  นักท่องเที่ยวจะได้ความสนุกผสมความมันส์ดุจขึ้นเขาคิชฌกูฏ(จันทบุรี)   อีกทางหนึ่งเป็นทางอ้อมต้องเดินเวียนไปทางขวามือ  แต่จะมาบรรจบกันด้านบน  ทางนี้เหมาะสำหรับคนแรงน้อย คนเฒ่า-คนแก่และเด็ก ๆพุทธวิหาร  แปลว่า สถานที่พักผ่อนของท่านผู้ตรัสรู้แล้วเป็นสถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่พระอริยหลายองค์มาพักผ่อนและละสังขารที่นี่  มีลักษณะที่แปลกและน่าอัศจรรย์ที่สุด  คล้ายกับพระธาตุอินทร์แขวนที่ประเทศพม่า  ปัจจุบันมีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหาร
          
ความอัศจรรย์ของพุทธวิหาร        คือ หินก้อนนี้แยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่แล้ว  แต่ไม่ตกลงมา  เพราะตั้งอยู่ได้ฉากกับพื้นโลกพอดี  ข้อนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่รู้  เพราะไม่ค่อยสังเกต  หากอยากเห็นชัด ๆ ให้เดินมาที่ฐานของพุทธวิหาร  จะเห็นได้ชัด  หรือสังเกตุดูที่ภาพถ่ายก็ได้  การที่พุทธวิหารตั้งอยู่ได้โดยไม่ตกลงมาถือได้ว่า น่าอัศจรรย์พอ ๆ กันกับพระธาตุอินทร์แขวน  
               สะพานหิน  ยาวทอดตัวออกมาจากภูทอก  ยื่นออกมาทางพุทธวิหาร (ดูภาพประกอบ)  เมื่อยืนบนสะพานหินจะสามารถมองเห็นภูทอกใหญ่และมองเห็นทัศนียภาพสองฟากฝั่งได้อย่างชัดเจน รวมทั้งสูดอากาศที่บริสุทธิ์ด้วย คล้ายกับอยู่บนสรวงสวรรค์ก็มิปาน
               สะพานไม้  มีความยาวประมาณ 10 เมตร  เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินและพุทธวิหาร เป็นดุจสิ่งที่เชื่อมต่อโลกสวรรค์และแดนนิพพานเข้าด้วยกัน เมื่อยืนอยู่บนสะพานไม้แล้วมองลงไปด้านล่าง จะเห็นแต่ต้นไม้และหุบเหวที่ลึกสุดหยั่ง (คนขวัญอ่อนมิควรมองลงไป)  จะทำให้ทราบว่า  บุคคลที่สามารถข้ามจากสะพานหินเพื่อไปบำเพ็ญเพียรหรือพักผ่อนที่พุทธวิหารได้  ต้องมิใช่บุคคลธรรมดา  
                     

          ข้อควรปฏิบัติก่อนขึ้นเขา
      เนื่องจากวัดไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวหรือแหล่งทัศนาจร  หากแต่เป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจของชาวพุทธเป็นสำคัญ ผู้เข้าเยี่ยมชม-กราบไหว้ควรปฏิบัติตามกฎที่ทางวัดตั้งไว้อย่างเคร่งครัด คือ
๑. เนื่องจากที่แห่งนี้มีนาค(งู)อาศัยอยู่มาก  และงูเหล่านี้ถือศีลงดกินเนื้อสัตว์  หากได้กลิ่นอาหารจะทำให้ตบะแตกแล้วเลื้อยออกมาหาอาหาร  จะทำให้นักท่องเที่ยวพบสัตว์ที่ไม่พึงประสงค์และจะเป็นอันตรายสำหรับภิกษุ-สามเณรที่อยู่ประจำ
๒. หากอนุญาตให้นำอาหารไปทานบนภูทอกได้  ไม่ช้าภูทอกก็จะเต็มไปด้วยขยะ  ระบบนิเวศน์และทัศนียภาพที่สวยงามจะเสียหาย
 ๓.  อสุภาพสตรีที่แต่งกายไม่สุภาพ  ทำให้บุรุษเพศหรือภิกษุ-สามเณรเห็นแล้วเกิดความกำหนัดคือเกิดกิเลส  แม้มนุษย์ด้วยกันจะไม่รู้  แต่เทพยดาที่นี้จะรู้  ดังนั้นจึงได้ห้ามเด็ดขาด
         


การเดินทาง
                    ภูทอกอยู่ห่างจากตัวเมืองหนองคายประมาณ 185 กิโลเมตร การเดินทางจากตัวเมือง  ใช้ทางหลวงหมายเลข 212 ผ่านอำเภอโพธิ์ชัย อำเภอปากคาด และอำเภอบึงกาฬ แล้วเลี้ยวขวาเข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 222 ถึงอำเภอศรีวิไล จากอำเภอศรีวิไลมีทางแยกซ้ายผ่านบ้านนาสิงห์ บ้านสันทรายงาม สู่บ้านนาคำแคน ถึงภูทอกเป็นระยะทางอีก 30 กิโลเมตร
ปกิณณกะ (เกล็ดเล็กน้อย)

การเดินทางไปจังหวัดบึงกาฬ
โดยรถประจำทาง
บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารประจำทางทั้งรถโดยสารธรรมดาและรถปรับอากาศไปจังหวัดหนองคาย และต่อรถจากหนองคายเข้าบึงกาฬ สอบถามรายละเอียดได้ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) ถนนกำแพงเพชร 2 โทร. 02 936 285 266 หรือ www.transport.co.th
โดยรถไฟ
การรถไฟแห่งประเทศไทย มีขบวนรถไฟจากกรุงเทพฯ-หนองคาย ทุกวันจากนั้นเดินทางโดยรถประจำทางเข้าจังหวัดบึงกาฬ ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่หน่วยบริการเดินทาง โทร. 1690, 02 220 4334 , 02 220 4261 หรือ www.railway.co.th
โดยรถยนต์
จากกรุงเทพมหานคร ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านสระบุรี และเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ผ่านนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ รวมระยะทาง 75 กิโลเมตร
โดยเครื่องบิน
นักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยเครื่องบิน จะต้องไปลงที่สนามบินจังหวัดอุดรธานี จากนั้นต่อรถเข้าจังหวัดบึงกาฬ สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับตารางการบินได้ที่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02 356 1111 หนองคาย
 โทร. 042 411 530 หรือ www.thaiairways.com